ค่าแรง รปภ. พาร์ทไทม์ จ่อพุ่ง 30% ภายในปี 2028 กระทบ บริษัทรปภ. อย่างไร?
โดย:
RRThailand
[IP: 171.99.128.xxx]
เมื่อ: 2025-11-12 17:01:33
ค่าแรง รปภ. พาร์ทไทม์ จ่อพุ่ง 30% ภายในปี 2028 กระทบ บริษัทรปภ. อย่างไร?
ภูมิทัศน์ของอุตสาหกรรมความปลอดภัยกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หนึ่งในข่าวที่กำลังสั่นสะเทือนวงการนี้ คือการประกาศเทรนด์การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำสำหรับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (รปภ.) โดยเฉพาะกลุ่มพาร์ทไทม์ ซึ่งในตลาดสำคัญอย่างเช่นสิงคโปร์ มีการคาดการณ์ว่าจะพุ่งสูงขึ้นกว่า 30% ภายในปี 2028 นี่ไม่ใช่แค่การปรับขึ้นตามเงินเฟ้อ แต่เป็น "การปรับโครงสร้าง" ครั้งใหญ่ ที่มีเป้าหมายเพื่อยกระดับวิชาชีพนี้ และส่งผลกระทบโดยตรงต่อแนวทางการดำเนินงานของ บริษัทรปภ ทั่วทั้งภูมิภาค รวมถึงประเทศไทยที่ต้องจับตามอง
เกิดอะไรขึ้นกับค่าแรง รปภ.?
ในอดีต อาชีพเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมักถูกมองว่าเป็นงานที่ใช้แรงงานหนักแต่ได้รับผลตอบแทนต่ำ อย่างไรก็ตาม ในหลายประเทศที่พัฒนาแล้ว เริ่มมองเห็นความสำคัญของการมีบุคลากรด้านความปลอดภัยที่มีคุณภาพ การปรับขึ้นค่าแรงอย่างก้าวกระโดดนี้ เป็นส่วนหนึ่งของโมเดลการปรับค่าแรงแบบก้าวหน้า (Progressive Wage Model) ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสร้างเส้นทางอาชีพที่ชัดเจนให้กับ รปภ.
• การปรับขึ้นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งเดียว แต่เป็นการทยอยปรับขึ้นแบบขั้นบันไดในทุกๆ ปี
• เป้าหมายคือเพื่อให้แน่ใจว่า รปภ. พาร์ทไทม์ จะได้รับค่าตอบแทนที่สะท้อนถึงทักษะและความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้น
• นี่คือการส่งสัญญาณว่า "คุณภาพ" ของการบริการรักษาความปลอดภัยกำลังถูกให้ค่ามากขึ้น
เบื้องหลังการปรับขึ้น: ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่คือ "การยกระดับ"
การที่รัฐบาลในหลายประเทศสนับสนุนการปรับขึ้นค่าแรงครั้งนี้ ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพเท่านั้น แต่เพื่อ "ปฏิรูป" อุตสาหกรรมทั้งระบบ
• การสร้างแรงจูงใจ: เพื่อดึงดูดคนรุ่นใหม่และบุคลากรที่มีคุณภาพ ให้เข้ามาในอุตสาหกรรมนี้ ลดปัญหาการขาดแคลนแรงงาน
• การเพิ่มทักษะ: ค่าแรงที่สูงขึ้น จะมาพร้อมกับการกำหนดมาตรฐานทักษะที่สูงขึ้น รปภ. จะต้องผ่านการฝึกอบรมที่เข้มข้นขึ้น ไม่ใช่แค่การยืนเฝ้า แต่ต้องมีความรู้ด้านเทคโนโลยี, การปฐมพยาบาล, และการรับมือเหตุฉุกเฉิน
• ลดอัตราการลาออก (Turnover Rate): เมื่อค่าตอบแทนดีขึ้น อัตราการลาออกของพนักงานก็จะลดลง ทำให้ บริษัทรปภ. สามารถรักษาพนักงานที่มีประสบการณ์ไว้ได้นานขึ้น
ผลกระทบต่อ "บริษัทรปภ" ที่ต้องปรับตัว
เทรนด์นี้คือความท้าทายครั้งใหญ่สำหรับผู้ประกอบการ [บริษัทรปภ] ที่เคยแข่งขันกันด้วย "ราคา" เป็นหลัก
• ต้นทุนที่สูงขึ้น: ต้นทุนการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน บีบให้บริษัทต้องหันมาบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
• การลงทุนในเทคโนโลยี: เพื่อชดเชยค่าแรงที่สูงขึ้น บริษัทรปภ. ที่ชาญฉลาดจะหันไปลงทุนใน "เทคโนโลยี" มากขึ้น เช่น การใช้ระบบกล้องวงจรปิดอัจฉริยะ (AI CCTV), ระบบควบคุมการเข้าออก (Access Control), หรือแม้แต่การใช้โดรนในการลาดตระเวน เพื่อลดการพึ่งพาจำนวนคน แต่เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
• การคัดกรองบุคลากร: บริษัทต้องเปลี่ยนจากการ "รับใครก็ได้" มาเป็นการ "คัดเลือก" บุคลากรที่พร้อมจะเรียนรู้และพัฒนาทักษะใหม่ๆ
ผู้ว่าจ้างต้องเตรียมตัวอย่างไร?
ในมุมของผู้ว่าจ้าง ไม่ว่าจะเป็นนิติบุคคลอาคารชุด, ห้างสรรพสินค้า, หรือโรงงาน ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้เช่นกัน
• ทบทวนงบประมาณ: ค่าบริการรักษาความปลอดภัยมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นอย่างแน่นอน ผู้ว่าจ้างต้องเตรียมงบประมาณส่วนนี้เพิ่มขึ้น
• เปลี่ยนโฟกัสจาก "ราคา" เป็น "คุณภาพ": การเลือก บริษัทรปภ. ที่เสนอราคาถูกที่สุด อาจไม่ได้ผลดีอีกต่อไป แต่ควรมองหาบริษัทที่สามารถให้บริการ รปภ. ที่มีทักษะและผ่านการฝึกอบรมตามมาตรฐานใหม่ได้
ภูมิทัศน์ของอุตสาหกรรมความปลอดภัยกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หนึ่งในข่าวที่กำลังสั่นสะเทือนวงการนี้ คือการประกาศเทรนด์การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำสำหรับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (รปภ.) โดยเฉพาะกลุ่มพาร์ทไทม์ ซึ่งในตลาดสำคัญอย่างเช่นสิงคโปร์ มีการคาดการณ์ว่าจะพุ่งสูงขึ้นกว่า 30% ภายในปี 2028 นี่ไม่ใช่แค่การปรับขึ้นตามเงินเฟ้อ แต่เป็น "การปรับโครงสร้าง" ครั้งใหญ่ ที่มีเป้าหมายเพื่อยกระดับวิชาชีพนี้ และส่งผลกระทบโดยตรงต่อแนวทางการดำเนินงานของ บริษัทรปภ ทั่วทั้งภูมิภาค รวมถึงประเทศไทยที่ต้องจับตามอง
เกิดอะไรขึ้นกับค่าแรง รปภ.?
ในอดีต อาชีพเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมักถูกมองว่าเป็นงานที่ใช้แรงงานหนักแต่ได้รับผลตอบแทนต่ำ อย่างไรก็ตาม ในหลายประเทศที่พัฒนาแล้ว เริ่มมองเห็นความสำคัญของการมีบุคลากรด้านความปลอดภัยที่มีคุณภาพ การปรับขึ้นค่าแรงอย่างก้าวกระโดดนี้ เป็นส่วนหนึ่งของโมเดลการปรับค่าแรงแบบก้าวหน้า (Progressive Wage Model) ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสร้างเส้นทางอาชีพที่ชัดเจนให้กับ รปภ.
• การปรับขึ้นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งเดียว แต่เป็นการทยอยปรับขึ้นแบบขั้นบันไดในทุกๆ ปี
• เป้าหมายคือเพื่อให้แน่ใจว่า รปภ. พาร์ทไทม์ จะได้รับค่าตอบแทนที่สะท้อนถึงทักษะและความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้น
• นี่คือการส่งสัญญาณว่า "คุณภาพ" ของการบริการรักษาความปลอดภัยกำลังถูกให้ค่ามากขึ้น
เบื้องหลังการปรับขึ้น: ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่คือ "การยกระดับ"
การที่รัฐบาลในหลายประเทศสนับสนุนการปรับขึ้นค่าแรงครั้งนี้ ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพเท่านั้น แต่เพื่อ "ปฏิรูป" อุตสาหกรรมทั้งระบบ
• การสร้างแรงจูงใจ: เพื่อดึงดูดคนรุ่นใหม่และบุคลากรที่มีคุณภาพ ให้เข้ามาในอุตสาหกรรมนี้ ลดปัญหาการขาดแคลนแรงงาน
• การเพิ่มทักษะ: ค่าแรงที่สูงขึ้น จะมาพร้อมกับการกำหนดมาตรฐานทักษะที่สูงขึ้น รปภ. จะต้องผ่านการฝึกอบรมที่เข้มข้นขึ้น ไม่ใช่แค่การยืนเฝ้า แต่ต้องมีความรู้ด้านเทคโนโลยี, การปฐมพยาบาล, และการรับมือเหตุฉุกเฉิน
• ลดอัตราการลาออก (Turnover Rate): เมื่อค่าตอบแทนดีขึ้น อัตราการลาออกของพนักงานก็จะลดลง ทำให้ บริษัทรปภ. สามารถรักษาพนักงานที่มีประสบการณ์ไว้ได้นานขึ้น
ผลกระทบต่อ "บริษัทรปภ" ที่ต้องปรับตัว
เทรนด์นี้คือความท้าทายครั้งใหญ่สำหรับผู้ประกอบการ [บริษัทรปภ] ที่เคยแข่งขันกันด้วย "ราคา" เป็นหลัก
• ต้นทุนที่สูงขึ้น: ต้นทุนการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน บีบให้บริษัทต้องหันมาบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
• การลงทุนในเทคโนโลยี: เพื่อชดเชยค่าแรงที่สูงขึ้น บริษัทรปภ. ที่ชาญฉลาดจะหันไปลงทุนใน "เทคโนโลยี" มากขึ้น เช่น การใช้ระบบกล้องวงจรปิดอัจฉริยะ (AI CCTV), ระบบควบคุมการเข้าออก (Access Control), หรือแม้แต่การใช้โดรนในการลาดตระเวน เพื่อลดการพึ่งพาจำนวนคน แต่เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
• การคัดกรองบุคลากร: บริษัทต้องเปลี่ยนจากการ "รับใครก็ได้" มาเป็นการ "คัดเลือก" บุคลากรที่พร้อมจะเรียนรู้และพัฒนาทักษะใหม่ๆ
ผู้ว่าจ้างต้องเตรียมตัวอย่างไร?
ในมุมของผู้ว่าจ้าง ไม่ว่าจะเป็นนิติบุคคลอาคารชุด, ห้างสรรพสินค้า, หรือโรงงาน ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้เช่นกัน
• ทบทวนงบประมาณ: ค่าบริการรักษาความปลอดภัยมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นอย่างแน่นอน ผู้ว่าจ้างต้องเตรียมงบประมาณส่วนนี้เพิ่มขึ้น
• เปลี่ยนโฟกัสจาก "ราคา" เป็น "คุณภาพ": การเลือก บริษัทรปภ. ที่เสนอราคาถูกที่สุด อาจไม่ได้ผลดีอีกต่อไป แต่ควรมองหาบริษัทที่สามารถให้บริการ รปภ. ที่มีทักษะและผ่านการฝึกอบรมตามมาตรฐานใหม่ได้
- ความคิดเห็น
- Facebook Comments