คาดการณ์เศรษฐกิจโลก (2 เดือนสุดท้าย 2025) ใครคุมตลาด?
โดย:
เล่นหุ้นเป็นชีวิต
[IP: 171.99.128.xxx]
เมื่อ: 2025-11-11 16:14:57
คาดการณ์เศรษฐกิจโลก (2 เดือนสุดท้าย 2025) ใครคุมตลาด?
เมื่อเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2025 ภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แม้จะรอดพ้นจากภาวะถดถอยรุนแรงที่หลายฝ่ายกังวลเมื่อต้นปี แต่ก็เป็นการเติบโตที่ "เปราะบาง" คำถามสำคัญที่นักลงทุนและผู้ประกอบการต่างเฝ้าจับตามองคือ ประเทศใดคือผู้กุมทิศทางตลาดในปัจจุบัน และ 2 เดือนสุดท้ายนี้จะมีแนวโน้มเป็นอย่างไร ท่ามกลางความผันผวนระดับโลกนี้ สิ่งที่น่าสนใจคือผู้ประกอบการรายย่อยในหลายประเทศ รวมถึงในไทย กลับมีมุมมองที่แตกต่าง หลายคนยังคงมองเห็นโอกาสในประเทศ และเลือกที่จะเริ่มต้นธุรกิจของตนเอง โดยยังคงมีความต้องการใช้บริการ รับเปิดบริษัทใหม่ อย่างต่อเนื่อง
สหรัฐอเมริกา: ยังคงเป็นผู้กำหนดทิศทาง "ดอกเบี้ย"
แม้เศรษฐกิจจะชะลอตัวลง แต่สหรัฐฯ ยังคงเป็นผู้เล่นหลักที่ทรงอิทธิพลที่สุด โดยเฉพาะในแง่ของนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับสูงเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อที่ยังคง "เหนียว" กว่าที่คาดไว้
• ปัจจัยขับเคลื่อน: การจ้างงานที่แข็งแกร่ง และการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ยังไม่แผ่ว
• ผลกระทบ: การที่ดอกเบี้ยสหรัฐฯ ยังสูง กดดันให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า และสร้างแรงกดดันต่อตลาดเกิดใหม่ที่ต้องรับมือกับภาวะเงินทุนไหลออก
• 2 เดือนสุดท้าย: ตลาดจะจับตาตัวเลขเงินเฟ้อ (CPI) และการจ้างงานอย่างใกล้ชิด เพื่อหาสัญญาณว่าเฟดจะ "คง" หรือ "ขึ้น" ดอกเบี้ยในการประชุมครั้งสุดท้ายของปี
จีน: ยักษ์ใหญ่ที่มุ่งเน้นการเติบโตจากภายใน
เศรษฐกิจจีนในปี 2025 แสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวที่ไม่ทั่วถึง ภาคการส่งออกเผชิญความท้าทายจากอุปสงค์โลกที่ชะลอตัว แต่รัฐบาลจีนกำลังพยายามอย่างหนักที่จะเปลี่ยนโฟกัสไปที่การบริโภคภายในประเทศ
• ปัจจัยขับเคลื่อน: นวัตกรรมในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และพลังงานสะอาด ซึ่งจีนครองตลาดโลก
• ความท้าทาย: วิกฤตในภาคอสังหาริมทรัพย์ยังคงเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ที่รอการแก้ไข
• 2 เดือนสุดท้าย: คาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากภาครัฐ เพื่อให้มั่นใจว่าการเติบโตในไตรมาสสุดท้ายจะเป็นไปตามเป้าหมาย
อินเดีย: ดาวรุ่งที่เติบโตสวนกระแสโลก
หากจะมีประเทศใดที่โดดเด่นที่สุดในปีนี้ "อินเดีย" คือคำตอบ ด้วยอัตราการเติบโตของ GDP ที่สูงที่สุดในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ อินเดียกำลังกลายเป็น "จีนคนใหม่" ในสายตานักลงทุนต่างชาติ
• ปัจจัยขับเคลื่อน: นโยบาย "Make in India" และกลยุทธ์ "China+1" ที่ทำให้เม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ไหลเข้าสู่อุตสาหกรรมการผลิตและเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง
• ประชากรศาสตร์: การมีประชากรวัยหนุ่มสาวจำนวนมหาศาล คือพลังขับเคลื่อนการบริโภคภายในที่แข็งแกร่ง
ยุโรป (โดยเฉพาะเยอรมนี): ความเปราะบางที่ยังไม่จบ
เขตยูโรโซนยังคงเป็นภูมิภาคที่น่ากังวล โดยเฉพาะ "เยอรมนี" พี่ใหญ่ทางเศรษฐกิจ ที่เผชิญกับภาวะถดถอยทางเทคนิค (Technical Recession) ไปในช่วงต้นปี
• ความท้าทาย: ต้นทุนพลังงานที่ยังคงสูงกว่าในอดีต และการพึ่งพาการส่งออกที่มากเกินไป ในขณะที่คู่ค้าหลักอย่างจีนและสหรัฐฯ ชะลอตัว
• 2 เดือนสุดท้าย: ต้องลุ้นว่าการฟื้นตัวในช่วงปลายปีจะเพียงพอหรือไม่ แต่โดยรวมยังคงเป็นการเติบโตที่ต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว
สรุปแล้วใคร "คุม" ตลาดโลกในตอนนี้?
คำตอบคือ ไม่มีประเทศใดประเทศหนึ่ง "คุม" ตลาดได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเหมือนในอดีต เรากำลังอยู่ใน "โลกหลายขั้ว" (Multipolar World) อย่างแท้จริง
• สหรัฐฯ: คุม "การเงิน" และ "เทคโนโลยี"
• จีน: คุม "ห่วงโซ่อุปทาน" และ "อุตสาหกรรมการผลิต"
• กลุ่ม OPEC+ (นำโดยซาอุดีอาระเบียและรัสเซีย): คุม "พลังงาน"
• อินเดีย: คุม "เรื่องเล่าการเติบโต" (Growth Narrative) แห่งอนาคต
ท่ามกลางพายุโลก: ทำไมธุรกิจไทยยังเลือกเปิดบริษัทใหม่
เมื่อมองกลับมาที่ประเทศไทย ความผันผวนของเศรษฐกิจโลกส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ในทางกลับกัน ภาคธุรกิจบริการและ SME ในประเทศกลับยังคงเดินหน้าต่อได้
ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจคือ บริการ รับเปิดบริษัทใหม่ ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง นี่สะท้อนให้เห็นว่า:
• ผู้ประกอบการปรับตัว: หลายคนหันมาจับตลาดในประเทศ หรือหาช่องว่าง (Niche Market) ใหม่ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเศรษฐกิจโลก
• การสร้างความมั่นคงส่วนตัว: ในภาวะที่การจ้างงานในบริษัทใหญ่อาจไม่แน่นอน การออกมา รับเปิดบริษัทใหม่ เพื่อเป็นนายตัวเอง กลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
• โอกาสในวิกฤต: ธุรกิจบริการ, ธุรกิจสุขภาพ, และธุรกิจดิจิทัล ยังคงเติบโตได้ดีในประเทศไทย
เมื่อเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2025 ภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แม้จะรอดพ้นจากภาวะถดถอยรุนแรงที่หลายฝ่ายกังวลเมื่อต้นปี แต่ก็เป็นการเติบโตที่ "เปราะบาง" คำถามสำคัญที่นักลงทุนและผู้ประกอบการต่างเฝ้าจับตามองคือ ประเทศใดคือผู้กุมทิศทางตลาดในปัจจุบัน และ 2 เดือนสุดท้ายนี้จะมีแนวโน้มเป็นอย่างไร ท่ามกลางความผันผวนระดับโลกนี้ สิ่งที่น่าสนใจคือผู้ประกอบการรายย่อยในหลายประเทศ รวมถึงในไทย กลับมีมุมมองที่แตกต่าง หลายคนยังคงมองเห็นโอกาสในประเทศ และเลือกที่จะเริ่มต้นธุรกิจของตนเอง โดยยังคงมีความต้องการใช้บริการ รับเปิดบริษัทใหม่ อย่างต่อเนื่อง
สหรัฐอเมริกา: ยังคงเป็นผู้กำหนดทิศทาง "ดอกเบี้ย"
แม้เศรษฐกิจจะชะลอตัวลง แต่สหรัฐฯ ยังคงเป็นผู้เล่นหลักที่ทรงอิทธิพลที่สุด โดยเฉพาะในแง่ของนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับสูงเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อที่ยังคง "เหนียว" กว่าที่คาดไว้
• ปัจจัยขับเคลื่อน: การจ้างงานที่แข็งแกร่ง และการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ยังไม่แผ่ว
• ผลกระทบ: การที่ดอกเบี้ยสหรัฐฯ ยังสูง กดดันให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า และสร้างแรงกดดันต่อตลาดเกิดใหม่ที่ต้องรับมือกับภาวะเงินทุนไหลออก
• 2 เดือนสุดท้าย: ตลาดจะจับตาตัวเลขเงินเฟ้อ (CPI) และการจ้างงานอย่างใกล้ชิด เพื่อหาสัญญาณว่าเฟดจะ "คง" หรือ "ขึ้น" ดอกเบี้ยในการประชุมครั้งสุดท้ายของปี
จีน: ยักษ์ใหญ่ที่มุ่งเน้นการเติบโตจากภายใน
เศรษฐกิจจีนในปี 2025 แสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวที่ไม่ทั่วถึง ภาคการส่งออกเผชิญความท้าทายจากอุปสงค์โลกที่ชะลอตัว แต่รัฐบาลจีนกำลังพยายามอย่างหนักที่จะเปลี่ยนโฟกัสไปที่การบริโภคภายในประเทศ
• ปัจจัยขับเคลื่อน: นวัตกรรมในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และพลังงานสะอาด ซึ่งจีนครองตลาดโลก
• ความท้าทาย: วิกฤตในภาคอสังหาริมทรัพย์ยังคงเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ที่รอการแก้ไข
• 2 เดือนสุดท้าย: คาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากภาครัฐ เพื่อให้มั่นใจว่าการเติบโตในไตรมาสสุดท้ายจะเป็นไปตามเป้าหมาย
อินเดีย: ดาวรุ่งที่เติบโตสวนกระแสโลก
หากจะมีประเทศใดที่โดดเด่นที่สุดในปีนี้ "อินเดีย" คือคำตอบ ด้วยอัตราการเติบโตของ GDP ที่สูงที่สุดในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ อินเดียกำลังกลายเป็น "จีนคนใหม่" ในสายตานักลงทุนต่างชาติ
• ปัจจัยขับเคลื่อน: นโยบาย "Make in India" และกลยุทธ์ "China+1" ที่ทำให้เม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ไหลเข้าสู่อุตสาหกรรมการผลิตและเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง
• ประชากรศาสตร์: การมีประชากรวัยหนุ่มสาวจำนวนมหาศาล คือพลังขับเคลื่อนการบริโภคภายในที่แข็งแกร่ง
ยุโรป (โดยเฉพาะเยอรมนี): ความเปราะบางที่ยังไม่จบ
เขตยูโรโซนยังคงเป็นภูมิภาคที่น่ากังวล โดยเฉพาะ "เยอรมนี" พี่ใหญ่ทางเศรษฐกิจ ที่เผชิญกับภาวะถดถอยทางเทคนิค (Technical Recession) ไปในช่วงต้นปี
• ความท้าทาย: ต้นทุนพลังงานที่ยังคงสูงกว่าในอดีต และการพึ่งพาการส่งออกที่มากเกินไป ในขณะที่คู่ค้าหลักอย่างจีนและสหรัฐฯ ชะลอตัว
• 2 เดือนสุดท้าย: ต้องลุ้นว่าการฟื้นตัวในช่วงปลายปีจะเพียงพอหรือไม่ แต่โดยรวมยังคงเป็นการเติบโตที่ต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว
สรุปแล้วใคร "คุม" ตลาดโลกในตอนนี้?
คำตอบคือ ไม่มีประเทศใดประเทศหนึ่ง "คุม" ตลาดได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเหมือนในอดีต เรากำลังอยู่ใน "โลกหลายขั้ว" (Multipolar World) อย่างแท้จริง
• สหรัฐฯ: คุม "การเงิน" และ "เทคโนโลยี"
• จีน: คุม "ห่วงโซ่อุปทาน" และ "อุตสาหกรรมการผลิต"
• กลุ่ม OPEC+ (นำโดยซาอุดีอาระเบียและรัสเซีย): คุม "พลังงาน"
• อินเดีย: คุม "เรื่องเล่าการเติบโต" (Growth Narrative) แห่งอนาคต
ท่ามกลางพายุโลก: ทำไมธุรกิจไทยยังเลือกเปิดบริษัทใหม่
เมื่อมองกลับมาที่ประเทศไทย ความผันผวนของเศรษฐกิจโลกส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ในทางกลับกัน ภาคธุรกิจบริการและ SME ในประเทศกลับยังคงเดินหน้าต่อได้
ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจคือ บริการ รับเปิดบริษัทใหม่ ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง นี่สะท้อนให้เห็นว่า:
• ผู้ประกอบการปรับตัว: หลายคนหันมาจับตลาดในประเทศ หรือหาช่องว่าง (Niche Market) ใหม่ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเศรษฐกิจโลก
• การสร้างความมั่นคงส่วนตัว: ในภาวะที่การจ้างงานในบริษัทใหญ่อาจไม่แน่นอน การออกมา รับเปิดบริษัทใหม่ เพื่อเป็นนายตัวเอง กลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
• โอกาสในวิกฤต: ธุรกิจบริการ, ธุรกิจสุขภาพ, และธุรกิจดิจิทัล ยังคงเติบโตได้ดีในประเทศไทย
- ความคิดเห็น
- Facebook Comments